Knowledge cover image
29 กรกฎาคม 2568
  1. คลังความรู้
  2. ศิลปะเพื่อนชีวิต

ศิลปะเพื่อนชีวิต

ช่วงชีวิตหลากสีของ “วิชภา มีทองคลัง” นักศิลปะบำบัด เปรียบวันนี้คือสีแดงของยามเช้าที่อุ่นนวลทว่าเต็มไปด้วยพลัง


เรื่องโดย ทีม Content ชีวามิตร

เราเพิ่งรู้สึกว่าได้หายใจ...ลึก ๆ จริง ๆ ก็หลังจากไม่สบาย”


ถ้อยคำตรง ๆ จากหญิงสาวที่ผ่านการป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในวัยเพียง 27 ปี อาจทำให้ใครหลายคนต้องหยุดและย้อนมองตัวเอง ว่าเคยได้หายใจ ลึก ๆ จริง ๆ บ้างหรือยัง



ก่อนป่วย คุณอิ๊บ – วิชภา มีทองคลัง คือหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเต็มสปีด เธอทำงานหน้าคอมวันละ 12 ชั่วโมง ดูแลร้านขายยากับสามี ไม่มีวันว่าง ไม่มีวันพักแทบไม่เคยได้ ฟังเสียงของตัวเอง จนวันหนึ่ง ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณ ไอเรื้อรัง เหนื่อยง่าย หายใจไม่ทั่วท้อง ผลเอกซเรย์พบก้อนเนื้อขนาด 9x10 ซม. แทรกอยู่ระหว่างปอดกับกระดูกซี่โครง นั่นคือ ลิมโฟมา หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง


“ก็รับรู้นะว่าเราเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่ได้รู้สึกจริง ๆ ว่ารู้สึกยังไง จนวันก่อนให้เคมีบำบัดเข็มแรก...อิ๊บนั่งร้องไห้เป็นชั่วโมง ร้อง ร้อง แล้วก็ร้อง จนไม่มีอะไรจะร้องอีกแล้ว”


เราถามเธอว่า “กลัวตายไหม” คุณอิ๊บเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบว่า


“กลัวนะ แต่ไม่ได้กลัวตาย...กลัวสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นต่างหาก แต่เราหนีไม่ได้แล้ว วันนี้ยังแข็งแรง ยังเดินได้ กินข้าวได้ ก็แปลว่า วันนี้เรามีพลังแล้ว แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับวันนี้”


กลับมาหายใจ และ “วาดใจตัวเอง”


คุณอิ๊บเล่าว่า สิ่งที่ช่วยให้เธอผ่านมาได้คือ แรงสำคัญสองแรง หนึ่งคือครอบครัว และอีกหนึ่งคือตัวเธอเอง

ครอบครัวและคนรอบตัวไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าเรา ป่วย พวกเขามองเราเป็นคนปกติ มีศักยภาพและพละกำลังเหมือนคนอื่น นั่นทำให้เราเกิดความเคารพในตัวเอง ว่าเรายังแข็งแรงอยู่ ทุกอย่างรอบตัวมีคนจัดการดูแลแทนเรา เหลือแค่ตัวเราเองที่จะดูแลตัวเองอย่างไร ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตัวเราเอง



ในระหว่างหนึ่งปีเต็มของการรักษา เธอเริ่มหยุด และหันกลับมาดูแลตัวเองอย่างแท้จริง ทั้งอาหาร อากาศ ออกกำลังกาย รวมถึง อารมณ์ ที่เคยมองข้าม และ ศิลปะ ก็กลับเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง ดอกไม้ ธรรมะ และเส้นสีบนกระดาษกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เธอได้อยู่กับความรู้สึกของตัวเอง


“ถ้าเราวาดสิ่งที่ขุ่นมัว ใจเราก็จะหนัก ถ้าวาดสิ่งที่โปร่งเบา ใจเราก็จะเบาตาม”


ศิลปะเพื่อนชีวิต



“เราจะระบายสีเหลืองยังไง...ให้มันส่องสว่างเข้าไปในหัวใจ?”


ประโยคธรรมดาบนเพจรับสมัครเรียนศิลปะบำบัด กลับทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง วันนั้นเอง เธอตัดสินใจสมัครเรียน “ศิลปะบำบัดแนวมนุษยปรัชญา” ศาสตร์ที่มองมนุษย์แบบองค์รวม—ทั้งกาย จิต และจิตวิญญาณ โดยใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการเยียวยา มากกว่าจะมองเพื่อความสวยงาม


“ปีแรกเราเรียนแค่เพื่อดูแลตัวเอง ยังไม่ต้องบำบัดใคร ศิลปะ...คืออยารักษาใจของเราเองก่อนพอปี 2 ปี 3 เราค่อยเรียนเรื่องของการบําบัด แล้วก็เรียนเรื่องของความเกี่ยวพันระหว่างสีกับการแพทย์แบบมนุษยปรัชญา”


หลังเรียนจบ เธอเริ่มทำงานกับเด็กในเรือนจำ เด็กติดเชื้อ HIV และผู้ต้องขัง “เราไม่ได้เข้าไปเพื่อรักษาใคร แต่เพื่อ ‘เปิดพื้นที่’ ให้เขาได้ฟังใจตัวเอง หลายคนลืมไปว่าเขามีคุณค่าแค่ไหน แค่ได้วาด ได้ระบาย เขาก็เริ่มเชื่ออีกครั้งว่าเขายังมีชีวิต มีความสามารถ และมีสิ่งสวยงามในตัวเอง”

เราอดถามไม่ได้ว่า ศิลปะบำบัดให้ประโยชน์อะไรกับคนเหล่านั้น คุณอิ๊บยิ้ม ตาเป็นประกาย “ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ นับไม่ได้เลยนะ เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดอะไรกับเขาบ้าง แต่เรารู้ว่าสิ่งที่เราส่งออกไป...มันจะมีผลกับเขาแน่ ๆ บางคนรู้สึกผ่อนคลาย เบาใจ สบายใจ บางคนได้มุมมองใหม่ที่ไม่เคยมีในชีวิตเลย เคยมีคนหนึ่งบอกว่า... ตอนที่เขาได้มองดอกไม้ เขาเพิ่งรู้ว่ากลีบดอกไม้มันมีหลายสี และพอเขามองนานขึ้น ก็เห็นว่ามันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ความงามมีแค่ชั่วขณะเดียว แล้วมันก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกว่า...เขาได้รับความงามนั้นไว้แล้วในใจ หรือแม้แต่ตอนที่ทำงานกับผู้ต้องขัง เคยมีคนถามเราว่า ‘ครูทำยังไงให้ก้อนดินพูดได้คะ?’ เราให้เขาปั้นดินเป็นรูปคน เป็นมนุษย์ที่ได้พูดคุยกัน แล้วเขาบอกว่า...มันทำให้เขานึกถึงคนที่เขารัก นึกถึงช่วงเวลาที่เขาเคยได้พูดคุยกับคนคนนั้นอีกครั้ง”


คุณอิ๊บเปรียบกระบวนการศิลปะบำบัดเหมือนการวางก้อนหินเล็ก ๆ ลงกลางแม่น้ำ

“เราไม่รู้หรอกว่าเส้นทางชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปไหม บางทีแม่น้ำอาจไหลเหมือนเดิม แต่ก้อนหินที่เราวางไว้ มันจะยังอยู่ตรงนั้น และวันหนึ่ง...ทรายอาจถมรอบ ๆ ก้อนหินนั้น ทำให้แม่น้ำค่อย ๆ เปลี่ยนทางไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้ นักบำบัดไม่ใช่คนที่เปลี่ยนชีวิตใครได้ เราแค่เป็น คนเปิดประตู ให้เขาเห็นว่า ยังมีทางเลือกอื่นอยู่นะ จะเดินเข้าไปหรือไม่...ก็เป็นโชคชะตาและการตัดสินใจของเขาเอง”


Soulitude — อยู่ดี ด้วยหัวใจที่เบา



หลังเรียนจบศิลปะบำบัด เธอและ “พี่เล็ก” ผู้เป็นสามี ตัดสินใจร่วมกันสร้าง Soulitude ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติของเชียงดาว

“เราอยากให้ Soulitude เป็นที่ที่ผู้คนได้ดูแลทั้งกายและใจ ได้กลับมาใช้เวลากับตัวเอง กับศิลปะ กับความเงียบ...และกับธรรมชาติ ชื่อ Soulitude มาจาก Soul หมายถึงจิตวิญญาณ และ Solitude หมายถึงความสันโดษ รวมกันเป็น Soulitude มันคือสันโดษ...แต่ไม่โดดเดี่ยว

บ้านหลังนี้ออกแบบด้วยแนวคิด Design with Nature ปลูกเคียงต้นไม้ อยู่กับแสงแดดและลมหายใจของขุนเขา ทุกอย่างเรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจให้ธรรมชาติเป็นครู และศิลปะเป็นเครื่องมือเยียวยาใจ



เราถามคุณอิ๊บอีกครั้งว่า “ในวัย 43 วันนี้...กลัวตายไหม เธอเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ

“กลัวนะ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ากลัว จนวันหนึ่งได้ไปเข้าคอร์สเตรียมตัวตาย แล้วมีคำถามเปิดวงว่า ‘คุณคิดยังไงกับความตาย’ คนอื่นตอบว่าไม่กลัว ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่พอถึงตาเรา...เราร้องไห้เลยค่ะ น้ำตาไหลพราก ทั้งที่ตอนนั้นหายป่วยแล้วนะ มันทำให้เรานึกถึงตอนที่ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย


“ตอนนั้นเราก็รู้เลยว่า...เรายังไม่พร้อมจะตาย”


“อิ๊บว่าความตายที่เรานึกถึงตอนอายุ 27 กับความตายในวัย 42–43 มันไม่เหมือนกันเลยค่ะ ตอนอายุ 27 มันยังไม่มีอะไรที่เราต้องห่วง ยังไม่มีลูก ไม่มีบ้าน ไม่มีงานที่เราผูกพัน ถ้าจะตายตอนนั้น...มันก็เหมือนจากไปแบบไม่มีอะไรติดค้าง แต่วันนี้...เรามีครอบครัว มีลูกที่กำลังเติบโต มีงานที่เรารัก มีสิ่งที่เราสร้างไว้จนเป็นรูปร่างแล้ว มันเลยยิ่งยากขึ้นที่จะจากไป เพราะมันไม่ใช่แค่เราอีกต่อไปแล้ว มันคือโลกของคนที่เรารักด้วย”

เธอหยุด...สูดลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดอย่างช้า ๆ ว่า


“ทางเดียวที่จะจัดการกับความกลัว ความตายคือ ‘ปล่อยวาง’ ปล่อยวางจากงาน จากตัวตน จากสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นของเรา เพราะวันหนึ่ง ทุกอย่างจะมีคนทำแทนเราได้ เหมือนตอนที่เราไม่สบาย คนอื่นก็ดูแลแทนได้หมด ถ้าเราคิดแบบนี้ เราก็ปล่อยวางได้”

เราถามคำถามสุดท้ายกับเธอ “สำหรับคุณอิ๊บ...อยู่ดีคืออะไร”


คุณอิ๊บยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบว่า


“อยู่ดี...คือการอยู่อย่างมีความสุขในใจ ใช้เวลาที่มีอย่างมีคุณภาพ อยู่กับคนที่เรารัก และทำสิ่งที่เรารัก นั่นแหละค่ะ คือการอยู่ดี”


เรื่องราวของคุณอิ๊บ – วิชภา มีทองคลัง ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยล้มป่วย แต่เป็นบทเรียนที่ค่อย ๆ กระซิบเตือนใจเราในวันที่ชีวิตเร่งรีบให้ลอง “หยุด” และ “หันกลับมา” ฟังเสียงเบา ๆ ของหัวใจตัวเองอีกครั้ง บางทีความหมายของการ “อยู่ดี ตายดี” อาจไม่ใช่การไม่เจ็บ ไม่ป่วย หรือจากไปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่อาจเรียบง่าย...เพียงพอ แค่...


“การได้หายใจลึก ๆ ในวันที่เรายังมีชีวิตอยู่”

ทีม Content ชีวามิตร avatar image
เรื่องโดยทีม Content ชีวามิตรอยู่อย่างมีความหมาย จากไปอย่างมีความสุข

COMMENT

ความคิดเห็น 0 รายการ

User avatar image

RELATED

บทความที่เกี่ยวข้อง

ดูทั้งหมด Krungthai ads